น้ำหอม กับคำวิงวอน ของ สันติสุข รูปแก้ว… “Please don’t kill me with your fake perfume.”
สันติสุข รูปแก้ว กับคำวิงวอน…
“Please don’t kill me with your fake perfume.”
อยากถามว่าเคยมั้ยคะ…
ประมาณว่ากำลังนั่งโซ้ยกุ้งเผา ปลาหมึกย่าง กับน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเด็ดอยู่ที่ร้านดังข้างถนนอย่างเอร็ดอร่อยราวกับจะเหาะได้อยู่แท้ๆ แล้วก็มีอันต้องสะดุดหยุดกึกเหมือนถูกกระตุกปีกให้หุบด่วน แล้ว ร่วงหล่นมานั่งก้นจ้ำเบ้าอยู่ที่พื้น เฮ้อ! หมดกัน อารมณ์ที่กำลังอร่อยเหาะนั่น
เรื่องของเรื่องก็เพราะวันหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ ขณะที่ดิฉันและพรรคพวกไปนั่งทานซีฟู้ดที่ร้านข้างถนนแห่งหนึ่ง จู่ๆ จมูกของดิฉันที่กำลังล่องลอยกับกลิ่นหอมยั่วน้ำลายของกุ้งเผาและปลาหมึกย่าง ก็รู้สึกเหมือนถูกถีบและทิ่มแทงด้วยกลิ่นน้ำหอม ที่หอมฉุนเฉียวเกินพิกัด ของสาวอนงค์หนึ่ง ซึ่งเพิ่งจะเอาก้นในกางเกงยีนส์ฟิตเปรี๊ยะขาสั้นจู๊ดมาหย่อนลงเก้าอี้ที่โต๊ะข้างๆ พร้อมกับแฟนหนุ่มของเธอนั่นเอง
ดิฉันแอบเหล่สำรวจดูหน้าตาของเธอ ต้องขอยอมรับว่าเธอสวยชนิดกระชากใจชายได้เลยทีเดียวแหละ แต่ เฮ้อ ! ไอ้น้ำหอมกลิ่นฉุนกึกที่พุ่งกระจายออกมาจากตัวเธอนั่นสิ มันหนักหน่วงรุนแรงชนิดสามารถแทงทะลุจมูกช้างม้าวัวควายให้ล้มตายได้เป็นฝูงเลยทีเดียว (สำมะหาอะไรกับจมูกมนุษย์อย่างเราๆท่านๆ) ที่สำคัญ ดิฉันยังไม่ได้ทำประกันชีวิต กรณีตายเพราะโดนรมด้วยกลิ่นน้ำหอมจากคนอื่นซะด้วยสิ
ไม่ใช่ดิฉันคนเดียวที่รู้สึกมึนตึ๊บเพราะเวียนหัวกับกลิ่นน้ำหอมนั่น เพื่อนทุกคนของดิฉัน และอีกสองคนที่นั่งโต๊ะถัดไป ต่างก็หันมามองทางต้นกลิ่นน้ำหอมเป็นตาเดียว แต่ก็ได้แค่ทำตาปริบๆ อย่างไม่รู้จะทำอะไรได้ เพราะเพิ่งกินอาหารไปกันได้ครึ่งทางเหมือนกัน
พูดแบบไม่ต้องทับถมให้จมธรณีแต่อย่างใด แต่พูดบนความเป็นจริงยิ่งแท้ก็คือ กลิ่นน้ำหอมของสาวคนนั้น มันฉุนจนเวียนหัว ยิ่งพอมันเจอกับอากาศร้อนๆ แถมผสมปนเปกับกลิ่นกุ้งเผา ปลาหมึกเผา แถมหอยหลอดผัดฉ่าเข้าให้อีก โอ๊ย! ดิฉันกับพรรคพวกถึงขั้นต้องยกจานย้ายโต๊ะหนีกันเลยค่ะ อุ้ย! ขอร้องเพลงนี้แถมให้เธอด้วยนะคะ “ ชั้นอยากจะตายเพราะกลิ่นน้ำหอมเธอ”
จะว่าไป ดิฉันไม่ใช่คนประเภทรังเกียจเดียดฉันท์ หรือเกลียดชังน้ำหอมแต่อย่างใด ตรงกันข้าม ดิฉันเป็นพวกที่ชื่นชอบและหลงใหลน้ำหอม ถึงขั้นไม่ได้ใส่แหวนเพชรเม็ดบักเอ๊บนั่น ก็ไม่เป็นไร แต่เรื่องน้ำหอมเนี่ย ไม่ได้จริงๆ ยังไงๆก็ขอใส่นิดนึงค่ะ! นิดเดียวจริงๆ ไม่ได้อาบ หรือทำขวดแตกมาแบบสาวอนงค์นั้นแน่นอน
เรื่องของน้ำหอม ความจริงมันคือเรื่องเล็กๆน้อยๆ ที่จะกลายเป็นเรื่องใหญ่โตได้ ถ้าคุณเป็นพวกที่ใส่น้ำหอมแบบซี้ซั้วหรือสุ่มสี่สุ่มห้า ประมาณว่า หนึ่ง อยากใส่น้ำหอมแต่ไม่ยอมลงทุน เลยไปซื้อน้ำหอมเลียนแบบของจริงราคาถูกๆ ที่ขายกันเป็นซีซีแถวข้างถนน (แบบที่สาวอนงค์นั้นใส่มา ชัวร์!) สอง คิดจะใส่น้ำหอม แต่ไม่รู้จักเลือกกลิ่นที่เข้ากับผิวและหมาะกับบุคลิกของตัวเอง สาม นึกอยากใส่น้ำหอม แต่ไม่ดูกาลเทศะ หรือดินฟ้าอากาศ เหมือนที่ดิฉันเจอนั่นล่ะค่ะ บ้าไปแล้ว ที่ริ ใส่น้ำหอมกลิ่นฉุนฟุ้ง ควงหนุ่มไปกินซีฟู้ดข้างถนน จนคนข้างๆต้องย้ายโต๊ะหนีสุดชีวิต ถ้าจะให้ถูก ก็ควรไปโน่นเลย ควงหนุ่มไปดินเนอร์ใต้แสงเทียนในโรงแรมห้าดาว หรือเรสตัวรองต์ หรูแ อร์เย็นฉ่ำโน่น ไม่ใช่มานั่ง “ยองๆเหลา” ข้างถนนแบบนี้
ที่เขียนมาทั้งหมดนี่ ก็แค่อยากจะบ่นและบอกว่า หยุดเถอะค่ะ หยุดใส่น้ำหอมปลอม กลิ่นหอมฉุนสุดเวียนหัวนั่นได้แล้ว ถ้าอยากใส่น้ำหอม ก็ควรจะลงทุนยอมควักกระเป๋าซื้อน้ำหอมแท้
ซึ่งแม้จะแพงหน่อย แต่เป็นการให้เกียรติตัวเอง และให้เกียรติดีไซเนอร์ หรือเจ้าของแบรนด์ ที่เขาสู้อุตส่าห์รังสรรค์กลิ่นน้ำหอมมาแทบเป็นแทบตาย แถมมีให้เลือกตั้งมากมายหลายบุคลิก ไม่ว่าจะเป็นร่าเริงสดใส แสนเท่ออกแนวสปอร์ต สุดโก้ดูคลาสสิค แสนเซ็กซี่แทบจะชยี้หัวใจคนรอบข้าง หรือกระทั่งหวานๆละไม และกระทั่ง ลุคละมุนสุดอ่อนโยน มีให้เลือกกันจนละลานตา
ถ้าคุณไม่อุดหนุนหรือส่งเสริมเขา ก็กรุณาอยู่เฉยๆเถอะค่ะ อย่าได้ไปใส่น้ำหอมปลอมเป็นการเข่นฆ่าแบรนด์แท้ ให้คนไม่รู้เรื่องน้ำหอมด่าเอาว่า น้ำหอมเห้…อะไรนี่ ถึงได้ฉุนและเวียนหัวชิบหายแบบนี้
คือถ้าไม่อยากลงทุนควักเงินซื้อน้ำหอมแท้ ก็ขอแนะนำว่าไปใช้แป้งเด็กของลูกหลานซะยังจะดีกว่า
เพราะการใส่น้ำหอมที่ไม่ใช้ของแท้นั้น มันเกิดโทษหลายสถาน หากไม่สงสารผิวตัวเองว่ามันอาจจะแพ้เป็นเม็ดผดผื่นคันหรือแดงเถือกเพราะสารเคมีจากน้ำหอมปลอม ก็ควรจะสงสารจมูกของมวลมนุษย์ที่อยู่รายรอบตัวคุณเสียบ้าง เพราะบรรดาน้ำหอมปลอมเหล่านั้น กลิ่นมันฉุนเฉียวรุนแรง ออกแนวสะอิดสะเอียนชวนเวียนหัวมากกว่าจะหอมจรุงใจ ยิ่งเมื่อมาเจออากาศร้อนตับแตกแบบบ้านเราเข้าให้ แล้ว เฮ้อ! คนที่อยู่ใกล้ๆ เขามีสิทธิ์ตายได้นะคะคุณ
อยากบอกอีกว่า มันไม่ได้ช่วยอะไรขึ้นมาเลยกับการใช่น้ำหอมปลอมนั่น มันมีแต่จะฉุดรั้งคุณให้ดู Look Cheap & Low Taste ไปโน่น
เพราะฉะนั้นหยุดใช้น้ำหอมปลอมกันเสียทีเถอะค่ะ ขอร้องละ!
ถ้าหากขอร้องกันดีๆไม่ได้ เห็นทีจะต้องไปขออ้อนวอนให้ท่านนายกฯหรือประธาน คสช. สั่งครม.ให้ช่วยออกกฎหมาย “ห้ามใส่น้ำหอมปลอม” เสียแล้วสิ ใครขัดขืน หรือไม่ปฏิบัติตาม มีโทษทั้งจำและปรับ อัตราการจำและปรับ ก็ประมาณว่าให้ไปนอนเล่นในห้องขังซะให้เข็ด และปรับให้กระเป๋าแหกไปเลยให้หมดเรื่อง จะได้เข็ดขยาด ไม่กล้าริใส่น้ำหอมปลอมออกไปเดินเพ่นพ่านให้ชาวบ้านเขาเดือดร้อน
และคราวนี้ตำรวจไทยทั้งประเทศคงจะได้เวียนหัวกันโดยถ้วนหน้า เพราะคุกประเทศไทยแทบจะทุก สน. คงจะฟุ้งไปด้วยกลิ่นน้ำหอมปลอม ของเหล่าแบรนด์เนมดังอย่าง คริสเตียน ดิออร์, จิออร์จิโอ้ อาร์มานี่, คาลวิน ไคลน์, ดีเคเอ็นวาย กุชชี่ และ ฯลฯ อีกยาวเหยียด
หรือคุณผู้อ่าน จะว่าไงคะ?