คุณภาพระดับโลกของเนื้อลูกวัว เนื้อวัว และ ไก่พันธุ์ (ลูกไก่และไข่ฟัก) จากเนเธอร์แลนด์

 

(จากซ้ายไปขวา)

1.มร.อารีย์ เวลเฮาเซน ทูตเกษตรเนเธอร์แลนด์

2.นสพ.วัชรพล โชติยะปุตตะ ผู้อำนวยการกองความร่วมมือปศุสัตว์ระหว่างประเทศ กรมปศุศัตว์,

3.ศ.อัล ไดเฮาเซน ประธานคณะกรรมการเกษตรและอาหาร เนเธอร์แลนด์

4. มร.พอล เม้งเวล อุปทูตเนเธอร์แลนด์

5.นสพ.พรศักดิ์ หิรัญพัธวงศ์ผู้อำนวยการเอเชีย บริษัทเฮดริกซ์ จีเนติกส์

ุ6.มร.พอล เบลท์แมน ผู้จัดการเอเชีย บริษัท แอคโคร เครือเวนดีย์

คุณภาพระดับโลกของเนื้อลูกวัว เนื้อวัว  และ ไก่พันธุ์ (ลูกไก่และไข่ฟัก) จากเนเธอร์แลนด์

(Global Quality of Veal & Beef, Day-Old-Chick & Hatching Egg from The Netherlands)

 

 

เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2560 ที่ผ่านมา สถานทูตเนเธอร์แลนด์ กรุงเทพฯ โดย ฯพณฯ มร. พอล เม้งเฟล (H.E. Mr. Paul Menkveld) อุปทูตเนเธอร์แลนด์ (Charge’ d’affaires a.i.)  ได้จัดงานแถลงข่าวเรื่องการที่กรมปศุสัตว์ ของไทย ได้อนุญาตอย่างเป็นทางการ ให้ส่งออกเนื้อลูกวัว (Veal) และ เนื้อวัว (Beef) จากประเทศเนเธอร์แลนด์ มายังประเทศไทย และการขยายระยะเวลาการส่งออกลูกไก่ (Day-Old-Chick) และไข่ฟัก (Hatching Egg) จากเนเธอร์แลนด์ มายังประเทศไทยอย่างเป็นทางการ อันเป็นผลจากความพยายามทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด ระหว่างรัฐบาลของทั้งสองประเทศ  เพื่อส่งเสริมการค้าและนวัตกรรมด้านปศุสัตว์ระหว่างไทยกับเนเธอร์แลนด์ ให้เข้มแข็งในระดับนานาชาติ

คุณศราวุธ ฉันทจิตปรีชา (ซ้ายสุด) และเจ้าหน้าที่สาวสวยแห่งสถานทูตเนเธอร์แลนด์ รอต้อนรับสื่อมวลชน

(บน)ฯพณฯ มร. พอล เม้งเฟล (H.E. Mr. Paul Menkveld) อุปทูตเนเธอร์แลนด์ขึ้นเวทีแถลงข่าว

 ฯพณฯ มร. พอล เม้งเฟล (H.E. Mr. Paul Menkveld) อุปทูตเนเธอร์แลนด์ (Charge’ d’affaires a.i.) ได้กล่าวต้อนรับและขอบคุณนักข่าวในบ่ายวันดังกล่าว “สถานทูตเนเธอร์แลนด์ รู้สึกเป็นเกียรติและยินดีที่ได้มีโอกาสต้อนรับสื่อมวลชนและผู้สื่อข่าวของไทยกว่า 30 ท่านจากสื่อแขนงต่างๆ ทั้งสถานีโทรทัศน์ สถานีวิทยุ วารสาร หนังสือพิมพ์ และ เว๊บเพจ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ต้องขอขอบคุณอย่างจริงใจสำหรับนักข่าวทุกๆท่านที่กรุณาให้เกียรติมาร่วมงานแถลงข่าว อย่างอบอุ่น เป็นอีกวันที่น่าจดจำของสถานทูตเนเธอร์แลนด์ ที่แวดล้อมด้วยพื้นที่สีเขียว ใจกลางเมือง  เนเธอร์แลนด์ในฐานะผู้ส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารอันดับสองของโลก (รองจากสหรัฐอเมริกา)  ได้ชื่อว่าเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมการเกษตรและอาหารในระดับโลก ยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาและกระชับความร่วมมือกับประเทศไทยด้านการค้า การลงทุน และนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง ในฐานะที่ทั้งสองประเทศต่างก็เป็นผู้ผลิตและส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารที่สำคัญของโลก ”

มร. อารีย์ เวลเฮาเซ่น (Arie Veldhuizen) ทูตเกษตรของเนเธอร์แลนด์ กล่าวเสริมว่า หลังจากการระบาดของโรควัวบ้าในยุโรปเมื่อหลายปีก่อน การส่งออกและนำเข้าสินค้าเนื้อวัวระหว่างไทยและเนเธอร์แลนด์ได้หยุดชะงักไป หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยและเนเธอร์แลนด์ ได้แสวงหาความร่วมมือ เพื่อแก้ไขสถานการณ์คณะของกรมปศุสัตว์ของไทยได้ตอบรับคำเชิญของรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ในการเดินทางไปตรวจสอบระบบห่วงโซ่การผลิตและควบคุมเนื้อวัว ตลอดจนผลิตภัณฑ์เนื้อวัว ที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ อันเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการด้านความปลอดภัยอาหาร เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค อีกทั้งมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างใกล้ชิดระหว่างสองประเทศ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าเนื้อวัวและเนื้อลูกวัวที่ผลิตและส่งออกโดยเนเธอร์แลนด์ มีความปลอดภัยต่อผู้บริโภคในไทยอย่างแท้จริง ใน พ.ศ. 2559 กรมปศุสัตว์จึงได้อนุมัติ อย่างเป็นทางการให้เนเธอร์แลนด์ส่งออกเนื้อลูกวัว และ เนื้อวัวมายังประเทศไทย  ในปีเดียวกัน อีกคณะของกรมปศุสัตว์ได้เดินทางไปตรวจสอบระบบห่วงโซ่การผลิตของอุตสาหกรรมไก่ทั้งระบบของเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการด้านความปลอดภัยต่อผู้บริโภค  ในปี 2560 กรมปศุสัตว์ของไทยได้อนุมัติอย่างเป็นทางการสำหรับการส่งออกลูกไก่และไข่ฟัก จากเนเธอร์แลนด์ มายังประเทศไทย อันเป็นผลจากความพยายามทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในอุตสาหกรรมปศุสัตว์ของไทยและเนเธอร์แลนด์  ขั้นตอนสุดท้ายคือกระบวนการด้านเอกสารสุขภาพสัตว์ (Veterinary or Health Certificate) Click here to enter text.เพื่อการส่งออกเนื้อลูกวัว  เนื้อวัว ลูกไก่ และไข่ฟัก จากเนเธอร์แลนด์มาไทยก็ได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานของทั้งสองประเทศ สถานทูตเนเธอร์แลนด์ต้องขอขอบคุณ กรมปศุสัตว์ของไทย ที่ตัดสินใจอย่างรอบคอบก่อนอนุมัติอย่างเป็นทางการ ผู้บริโภคของไทยจึงสามารถมั่นใจเรื่องคุณภาพและความปลอดภัยของสินค้าปศุสัตว์ ที่ส่งออกจากเนเธอร์แลนด์

 

ศาสตราจารย์ ดร. อัล ไดเฮาเซ่น (Prof. Dr. Aalt Dijkhuizen) ประธานคณะกรรมการเกษตรและอาหาร เนเธอร์แลนด์ ได้กล่าวบรรยายพิเศษระหว่างการแถลงข่าว  เนเธอร์แลนด์เป็นประเทศขนาดเล็ก ด้วยพื้นที่ 45,000 ตารงกิโลเมตร จำนวนประชากร 17 ล้านคน  แต่เป็นผู้ส่งออกอาหารอันกับสองของโลก เป็นรองเพียงสหรัฐอเมริกา ซึ่งส่งออกมากเป็นอันดับหนึ่ง สาขาเกษตรและอาหารที่สำคัญของเนเธอร์แลนด์ ได้แก่ สินค้าพืชสวนในระบบโรงเรือน โคนม เนื้อลูกวัว หมู และ ไก่  ประมาณร้อยละ 70 ของสินค้าเกษตรและอาหารที่เนเธอร์แลนด์ผลิตได้จะเป็นเพื่อการส่งออก อุตสาหกรรมอาหารก่อให้เกิดการจ้างงานประมาณร้อยละ 10 ของการจ้างงานทั้งประเทศ  จำนวนประชากรของโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน  ส่งผลต่อความต้องการอาหารที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะความต้องการอาหารจากแหล่งโปรตีนคุณภาพสูง (นมโค เนื้อสัตว์ และ ผัก) ซึ่งเป็นทั้งโอกาสและความท้าทาย  เป็นที่ทราบกันว่าที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติมีปริมาณจำกัด  การเพิ่มผลผลิตด้านเกษตรและอาหารต้องดำเนินบนหลักการ “ผลิตให้ได้มากกว่า ด้วยการใช้ทรัพยากรที่น้อยกว่า”  (More with Less) แนวโน้มการผลิตอาหารในอนาคตคือผลิตให้ได้มากขึ้นบนวิถีที่ยั่งยืน โดยการใช้ที่ดินน้อยลง  จากความเข้าใจเดิมๆที่ว่าการผลิตปศุสัตว์นั้นก่อให้เกิดมลภาวะจากการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในปริมาณสูงกว่าการผลิตพืชอาหาร  จริงๆแล้วแทบไม่มีความแตกต่างกันเลยโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความก้าวหน้านวัตกรรมการเลี้ยงไก่ในปัจจุบัน มีความยั่งยืนสูงมาก ผลการวิจัยเปรียบเทียบปริมาณการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ต่อการผลิตหนึ่งกิโลกรัม เนื้อหมู เนื้อไก่ เมล็ดมะม่วงหิมพาน เต้าหู้ มีการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 4.5  ; 2.6 ; 2.3 ; 2.0 กิโลกรัม ตามลำดับ กล่าวได้ว่าอุตสาหกรรมการเลี้ยงไก่ปัจจุบันมีความยั่งยืนและก้าวหน้าด้านนวัตกรรมอย่างเด่นชัด ปัจจุบันมีปริมาณไก่ทั่วโลกประมาณ 56 ล้านตัว ภายในอีกสิบปีข้างหน้า หรือ ปี 2050 ถ้าเรายังผลิตไก่ด้วยนวัตกรรมของปัจจุบัน ความต้องการไก่ คือ 131 พันล้านตัว ในทางกลับกันถ้าหากการเลี้ยงไก่ได้รับการพัฒนาพัฒนาด้านนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง ความต้องการไก่จะเหลือ 100 พันล้านตัว  หมายความว่า

  • สามารถลดการใช้อาหารสัตว์ได้ 147 ล้านตัน
  • ลดการใช้ที่ดิน 40 ล้านเฮกตาร์ (ประมาณ 2 ใน 3 ของขนาดพื้นที่ประเทศไทย)
  • ลดการใช้น้ำ 290 พันล้านลิตร

การผลิตด้านเกษตรและอาหารของเนเธอร์แลนด์ตั้งบนพื้นฐานขององค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์อย่างเข้มข้น

อาหารว่างจาก Siam Food Services ซึ่งเป็นบริษัทนำเข้าเนื้อ หมู ไก่ มันฝรั่ง และ ฯลฯ จากเนเธอแลนด์มาหลายสิบปีแล้ว

มร. พอล เบลท์แมน (Mr. Paul Beltman) ผู้แทนจากสมาคมเนื้อแห่งประเทศเนเธอร์แลนด์ (Dutch Meat Association) กล่าวถึงคุณภาพเนื้อลูกวัวจากเนเธอร์แลนด์ว่า เนเธอร์แลนด์เป็นผู้ผลิตเนื้อลูกวัวรายใหญ่ที่สุดของโลก ร้อยละ 70  ของเนื้อลูกวัวที่ผลิตได้จะส่งออกไปทั่วโลก โดยมีตลาดสหภาพยุโรปเป็นตลาดหลัก แต่ละขั้นตอนของการเลี้ยงและการผลิตเนื้อลูกวัวแต่ละตัวในทุกๆฟาร์ม ถูกควบคุมอย่างเข้มงวดโดยหน่วยงานด้านสวัสดิภาพสัตว์ และความปลอดภัยด้านอาหารของรัฐบาลเนเธอร์แลนด์  มีการตรวจสอบเรื่องความคุณภาพและมาตรฐานโดยหน่วยงานอิสระระดับนานาชาติ อย่างครบวงจร สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ในทุกๆขั้นจนถึงวัวแต่ละตัว ณ ฟาร์มเลี้ยง รวมทั้งมีมาตรการการลงโทษในกรณีที่มีการฝ่าฝืนกฎหมายข้อบังคับเรื่องมาตรฐานและความปลอดภัย ครอบคลุมตั้งแต่ฟาร์ม โรงงานอาหารสัตว์ จนถึงโรงเชือด ปัจจุบันกลุ่มบริษัทแวนดรี (VanDrie Group) คือผู้ผลิตและส่งออกเนื้อลูกวัวรายใหญ่ที่สุดของเนเธอร์แลนด์ กลุ่มบริษัทแวนดรี มีพนักงานทั้งสิ้น 2,250 คน โดยมีเกษตรกรผู้เลี้ยงในเครือข่าย 1,100 ราย ความต้องการลูกวัวเพื่อป้อนให้แก่โรงเชือดของบริษัทในแต่ละปีมีจำนวน 1.5 ล้านตัว จัดเป็นผู้ผลิตและส่งออกเนื้อลูกวัวรายใหญ่อันดับต้นๆของโลก นอกจากนี้บริษัทยังประกอบธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องด้านปศุสัตว์ที่เกี่ยวโดยเฉพาะการผลิตเนื้อลูกวัว และอุตสาหกรรมโคนมได้แก่

  • ผลิตอาหารหยาบสำหรับเลี้ยงสัตว์ 184,000 ตัน ต่อปี
  • ผลิตนมผงสำหรับเลี้ยงลูกโค 450,000 ตัน ต่อปี
  • ปริมาณการค้าสินค้าวัตถุดิบจากนมโค 175,000 ตัน ต่อปี
  • ส่งออกไป 60 ประเทศทั่วโลก จากฐานการผลิต ในสี่ประเทศ (เนเธอร์แลนด์ อิตาลี ฝรั่งเศส และ

เบลเยี่ยม)

 

ในส่วนของบริษัท เอโกร (EKRO) เป็นหนึ่งในบริษัทลูกของกลุ่มแวนดรี เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ พ.ศ. 2534  มีกำลังการผลิต 425000 ตัว (ลูกวัว) ต่อปี หรือ 140 ตันเนื้อถอดกระดูกต่อวัน มีพนักงาน 450 คน  ลูกค้าในแถบเอเชียได้แก่ ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น ฮ่องกง สิงค์โปร์ และประเทศไทย เนื้อลูกวัวก็มีหลายประเภท ขึ้นอยู่กับอาหารที่ใช้เลี้ยง เช่นเลี้ยงด้วยนมโคเป็นหลัก และเสริมอาหารพิเศษเพื่อช่วยเรื่องการย่อย  เนื้อลูกโคจะมีสีชมพูอ่อนๆ กลิ่นหอมแบบครีมนม เนื้อชุ่มและนุ่มมาก แต่ราคาสูง  แต่ถ้าเลี้ยงด้วยนมโคและอาหารหยาบแบบครึ่งต่อครึ่ง จะได้เนื้อที่เป็นสีกุหลาบ นุ่ม แต่ราคาย่อมเยา เป็นต้น โดยสรุปเนื้อลูกวัวจากเนเธอร์แลนด์จัดเป็นสินค้าพรีเมี่ยม

นสพ. พรศักดิ์ หิรัญพัธวงศ์ ผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเชีย บริษัทเฮดริกซ์ จีเนติก (Hendrix Genetics B.V.) ประเทศเนเธอร์แลนด์ ได้กล่าวเน้นถึงความสำคัญของอุตสาหกรรมไก่ของเนเธอร์แลนด์ ที่มีต่ออุตสาหกรรมไก่ของประเทศต่างๆทั่วโลก ตั้งแต่เรื่องของพันธุกรรม อาหาร เทคโนโลยีการเลี้ยงในฟาร์ม การจัดการสุขภาพไก่ กล่าวเฉพาะในส่วนของเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมไก่  เนเธอร์แลนด์ นั้นเป็นผู้นำระดับโลกตั้งโดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดมากกว่า ร้อยละ 75 ครอบคลุมตั้งแต่เครื่องฟักไข่ เครื่องคัดแยกไข่ เครื่องจักรในโรงเชือด โรงเรือนเลี้ยงไก่และระบบการควบคุม เป็นต้น แนวโน้มทางการตลาดของเนื้อไก่คือผู้บริโภคมีความต้องการสินค้าที่มีคุณค่าทางโภชนาการ มีความยั่งยืน มีความหรูหรา (พรีเมี่ยม)  และ มีความเด่นชัดด้านนวัตกรรม ตัวอย่างเช่น เนื้อไก่และไข่ที่ปลอดเชื้อซามอนเนลล่า เนื้อไก่ที่อุดมด้วยโอเมก้า-3 เป็นต้น บริษัทเฮนดริกซ์ จีเนติก ประเทศเนเธอร์แลนด์เป็นผู้นำด้านนวัตกรรมพันธุศาสตร์ไก่งวงและไก่ไข่ ภายใต้เครื่องหมาการค้าที่แตกต่างกันกว่า 11 แบรนด์  ปัจจุบันเป็นผู้นำธุรกิจด้านพันธุกรรมครอบคุมไก่ไข่ ไก่งวง หมู ไก่พื้นเมือง และปลา

นสพ. วัชรพล โชติยะปุตตะ  ผู้อำนวยการกองความร่วมมือด้านการปศุสัตว์ระหว่างประเทศ ในฐานะตัวแทนของกรมปศุสัตว์ ได้กล่าวแสดงความยินดีที่เนเธอร์แลนด์ ได้รับการอนุญาตอย่างเป็นทางการให้สามารถส่งสินค้าเนื้อลูกวัว เนื้อวัว ลูกไก่ตลอดจนไข่ฟัก มายังประเทศไทยได้ อันเป็นผลจากร่วมมืออย่างใกล้ชิดของรัฐบาลทั้งสองประเทศ อีกทั้งยังมั่นใจว่าทั้งไทยและเนเธอร์แลนด์จะยังคงร่วมมือทำงานอย่างใกล้ชิดมากยิ่งขี้น ในการส่งเสริมการค้าและเทคโนโลยีด้านการปศุสัตว์ของทั้งสองประเทศในตลาดโลก โดยกรมปศุสัตว์ของไทยพร้อมให้การสนับสนุนทุกฝ่ายอย่างเต็มที่

หลังงานแถลงข่าว มีตบท้ายด้วยดินเนอร์สุดเก๋แสนอร่อย เพราะ เสิร์ฟเมนูทั้งออร์เดิฟและเมนคอร์สที่ปรุงจากเนื้อลูกวัวนำเข้าจากเนเธอร์แลนด์

เมนคอร์สค่ำคืนนั้น

     ท่านอุปทูตพอล เม้งเวล ให้เกียรติถ่ายรูปร่วมกับคณะสื่อมวลชน

อิ่มหนำสำราญกันถ้วนหน้า ขอบอกว่า เนื้อลูกวัวค่ำคืนนั้นทั้งหวานและนุ่มแทบละลายในปาก แถมพอเจอกับ red wine 2-3 แก้วเท่านั้นแหละ สวรรค์ที่ใครว่าอยู่ไกลนักหนา พุ่งมาเต้นระบำซุมบ้าอยู่ตรงหน้าของเรานั่นเอง

คุณศราวุธขา ปีหน้า ท่านทูตจะจัดงงานแบบนี้อีกมั้ยคะ

%d bloggers like this: