งานมหกรรมหนังสือครั้งที่ 22 เริ่มแล้ว 18-29 ตุลาคมนี้ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

งานมหกรรมหนังสือครั้งที่ 22 เริ่มแล้ว 18-29 ตุลาคมนี้ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

โดยมีพลเอก ธนศักดิ์ ปฏิมากร จะมาเป็นประธานในพิธีเปิดงานมหกรรมหนังสือครั้งที่ 22  ในวันที่ 18 ตุลาคมนี้ เวลา 09:00 – 10.30 น.ณ เวทีเอเทรียม ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ 

และในงานนี้ ยังจัดให้มีนิทรรศการ “ความท๙งจำ” รำลึก “พระมหากรุณาธิคุณ” ต่อวงการหนังสือไทย ให้ผู้เข้าร่วมงานได้ชมเพื่อเป็นการรำลึกถึงพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ผู้ทรงให้ความสำคัญกับหนังสือในฐานะเครื่องมือในการส่งต่อและสร้างสรรค์ความรู้แก่มวลมนุษยชาติ

“…หนังสือเป็นการสะสมความรู้ และทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์ได้สร้างมา ทำมา คิดมา แต่โบราณกาลจนทุกวันนี้ หนังสือจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เป็นคล้าย ๆธนาคารความรู้และเป็นออมสิน เป็นสิ่งที่จะทำให้มนุษย์ก้าวหน้าได้โดยแท้…”

ข้อความข้างต้น คือพระบรมราชวาทที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้พระราชทานแก่คณะสมาชิกห้องสมุดทั่วประเทศ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514

ตลอด 7 ทศวรรษที่ทรงครองราชย์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงให้ความสำคัญกับหนังสือในฐานะเครื่องมือในการส่งต่อและสร้างสรรค์ความรู้แก่มวลมนุษยชาติ ดังที่ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ได้ผูกพันกับหนังสือเป็นอย่างมาก มีข้อเขียนในรูปแบบต่าง ๆ ทั้ง หนังสือ บทความ แต่งเพลงพระราชนิพนธ์ การแปล  และการสร้างสรรค์อื่น เช่น ภาพถ่าย จิตรกรรม การประดิษฐ์ตัวพิมพ์ ตลอดจนการสนับสนุนให้มีการการทำหนังสือการสร้างสรรค์ความรู้ในรูปแบบต่างๆ เช่น การจัดทำสารานุกรมสำหรับเยาวชน การแปลคัมภีร์ทางศาสนา เช่น พระไตรปิฎก มหาคัมภีร์อัลกุรอาน การสนับสนุนการศึกษาทางไกลผ่านเทคโนโลยีสารสนเทศต่างๆ

ในงานมหกรรมหนังสือระดับชาติครั้งที่ 22  ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 18-29 ตุลาคมนี้ ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ มีนิทรรศการที่น่าสนใจมากๆคือ “นิทรรศการความท๙งจำ” ซึ่งเป็นนิทรรศการหลักของงานที่เชื่อมโยงกับแนวคิดของงานมหกรรมหนังสือในครั้งนี้คือ “ความทร๙งจำ” โดยนำเสนอพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ผ่านหนังสือที่เกิดขึ้นในรัชสมัยของพระองค์กว่า 7 ทศวรรษ โดยนิทรรศการความท๙งจำ เกิดขึ้นเพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ผ่านหนังสือที่เกิดขึ้นในรัชสมัยของพระองค์ ด้วยความตระหนักว่า หนังสือเป็น “สิ่งที่จะทำให้มนุษย์ก้าวหน้าได้โดยแท้” สมดังพระบรมราชวาทที่ได้พระราชทานแก่คณะสมาชิกห้องสมุดทั่วประเทศ

สุชาดา สหัสกุล นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ เล่าว่าในนิทรรศการดังกล่าวได้มีการนำพระราชนิพนธ์เรื่อง “เมื่อข้าพเจ้าจากสยามมาสู่สวิตเซอร์แลนด์” ซึ่งเป็นพระราชนิพนธ์เรื่องแรกเมื่อทรงขึ้นครองราชย์ โดยตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร วงวรรณคดี ฉบับเดือนสิงหาคม พ.ศ.2490 เป็นตอนแรก โดยพระบรมราชานุญาตพิเศษเฉพาะหนังสือเล่มนี้มาจัดแสดง ซึ่งได้รับความอนุเคราะห์จากไพศาลย์ เปี่ยมเมตตาวัฒน์ นักสะสมหนังสือและภาพโบราณ เจ้าของนิตยสาร “วงวรรณคดี” ฉบับเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2490 โดยแสดงร่วมกับหนังสือพระราชนิพนธ์เล่มอื่นๆ หนังสือที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สำคัญทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตลอด 7 ทศวรรษในรัชสมัยของพระองค์ นอกจากนี้ยังมีสิ่งพิมพ์และของที่ระลึกต่างๆที่จัดทำขึ้นหลังวันสวรรคต 13ตุลาคม พ.ศ.2559 จึงถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งนิทรรศการที่รวบรวมหนังสือและสิ่งพิมพ์ที่เกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มาแสดงให้ชมมากที่สุด

ในเนื้อหาของนิทรรศการแต่ละทศวรรษ จะแสดงได้ถึงประวัติศาสตร์โดยรวมของสังคมไทย ผ่านความทรงจำของเรื่องเล่าในตัวอักษร ทั้งจากผลงานพระราชนิพนธ์ และหนังสืออื่นๆ อาทิ ทศวรรษที่ 1 คือพ.ศ. 2489- พ.ศ.2498 ซึ่งรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เริ่มวันที่ 9 มิถุนายน 2489  พระชนมายุเพียง 19 พรรษา หลังจากขึ้นครองราชย์ไม่นานพระองค์จึงต้อง “จากสยามสู่สวิตเซอร์แลนด์”  เพื่อศึกษาต่อ, ทศวรรษที่ 3 คือ  พ.ศ. 2509- พ.ศ.2518 เป็นช่วงที่ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจใกล้ชิดประชาชนมากที่สุดช่วงหนึ่ง และหนังสือที่สำคัญคือการเริ่มสารานุกรมสำหรับเยาวชน และคัมภีรอัลกุรอานที่มีพระราชดำริให้แปลจากภาษาอาหรับก็ออกมาในทศวรรษนี้ด้วยเช่นกัน โดยทรงมีพระบรมราโชวาทความว่า

“สารานุกรมนี้จุดประสงค์อันแรกอันสำคัญที่สุดก็คือ ให้ผู้ที่ใช้สารานุกรมนี้ให้เกิดความรู้สึกว่า โลกนี้มันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โลกหมายถึงโลกความรู้ โลกกลมโลกของวิทยาศาสตร์ และโลกของวิชาต่าง ๆ อันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ต้องอาศัยซึ่งกันและกัน…แล้วก็ในเวลาเดียวกันก็ทำให้เห็นว่าในชาติบ้านเมืองหรือในเมืองอื่น ๆ ก็ต้องอาศัยซึ่งกันและกัน”

(พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่คณะกรรมการสโมสรไลออนส์สากล ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2512)

ในทศวรรษที่ 5 คือพ.ศ. 2529 –พ.ศ. 2538 สงครามเย็นที่เริ่มต้นมาในทศวรรษแรก มาสิ้นสุดในทศวรรษที่ 5 ของการครองราชย์ แต่ก็ใช่ว่าภารกิจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชจะสิ้นสุดลง เพราะสิ่งที่พระองค์ต่อสู้คือความยากจนของคนไทย พระองค์ มีพระราชดำริให้จัดตั้ง “มูลนิธิชัยพัฒนา”  เพื่องานพัฒนาต่างๆ และในทศวรรษนี้เองที่ พระราชนิพนธ์ของพระองค์ได้ออกมาอย่างต่อเนื่อง เริ่มจากงานแปล  นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ  (พ.ศ.2536)  ติโต (พ.ศ.2537) และท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจในทศวรรษที่ 6 คือ พ.ศ.2539- พ.ศ. 2548 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้พระราชทานแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงในฐานะหนึ่งในทางออกจากวิกฤต ขณะที่สถานะนักเขียนของพระองค์เด่นชัดขึ้นเมื่อมีการตีพิมพ์หนังสือ พระมหาชนก (พ.ศ.2539)   เรื่องทองแดง (พ.ศ. 2545)

มาร่วมสร้างความทรงจำไปด้วยกัน ในงานมหกรรมหนังสือระดับชาติครั้งที่ 22  วันที่ 18-29 ตุลาคมนี้ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

 

 

%d bloggers like this: