พญ.ปิยวดี จิตะสมบัติ

 

“ชีวิตคิดบวก” ของ

พญ.ปิยวดี จิตะสมบัติ

หลายคนประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานและการดำเนินชีวิต เพราะมีต้นทุนมาจากการปลูกฝังของครอบครัว เช่นเดียวกับเจ้าของคลินิกเสริมความงามย่านสยามสแควร์วัย 33 ปี พ.ญ.ปิยวดี จิตะสมบัติ หรือ “หมอแจง”  ที่มีคุณพ่อคุณแม่คอยอบรมบ่มเพาะให้เธอเป็นเธออย่างทุกวันนี้ โดยเฉพาะคุณแม่ที่ส่งเสริมให้เธอรักและช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์อยู่เสมอ ถึงขนาดผลักดันให้เรียนแพทย์เพื่อจะได้นำวิชาความรู้มาช่วยเหลือคนอื่น

หมอแจงในวัยเด็กอาจยังไม่รู้ถึงความต้องการที่แท้จริงของตัวเอง แต่เธอก็รู้ว่าสิ่งที่แม่พร่ำสอนมานั้น เป็นสิ่งที่เธอรักและอยากทำ ดังนั้นพอขึ้น ม.5 ที่โรงเรียนจิตรลดา เธอก็สอบเทียบเข้าเรียนปริญญาตรีที่คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดีได้สำเร็จ หลังจากนั้นก็คว้าปริญญาโท Master Degree in Dermatology จากสถาบันเดียวกันในเวลาต่อมา

“ตอนเด็กๆไม่รู้หรอกว่าชอบอะไร พอสอบติดก็เข้าไปเรียน รู้แต่ว่าคุณแม่เป็นทันตแพทย์ เห็นคุณแม่ทำงานกับคนป่วยก็ไปช่วยคุณแม่ตลอด แรกๆอยากเรียนทันตแพทย์เหมือนคุณแม่ แต่แม่อยากให้เรียนหมอมากกว่า เแล้วคะแนนก็ต่างกันนิดเดียว ระหว่างทันตแพทย์กับแพทย์ใช้เวลาเรียน 6 ปีเหมือนกัน ตอนนั้นที่เลือกเรียนไม่รู้หรอกว่าแพทย์เป็นยังไง แต่ปรากฏว่าสอบติดก็ไปเรียนตามที่คุณแม่บอก ซึ่งเราก็รู้อยู่ว่าการได้ช่วยเหลือคนอื่น ช่วยคนป่วยเป็นงานที่รักและอยากทำ” คุณหมอคนสวยเผยถึงที่มาที่ไปของหน้าที่แพทย์ในปัจจุบัน

เพราะความรักในการช่วยเหลือผู้อื่น ทันทีที่เรียนจบ หมอแจงจึงเลือกไปใช้ทุนที่โรงพบาลชุมชนในต่างจังหวัด เพราะคิดว่าจะมีโอกาสได้ช่วยเหลือคนที่ต้องการความช่วยเหลือจริงๆ มากกว่าโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ ที่พร้อมด้วยความสุขสบาย

“สมัยนั้นเพื่อนๆ คนอื่นไม่ชอบใช้ทุนกัน และก็จะมีวิธีเลี่ยงด้วยการใช้เงินคืนรัฐไป แต่สำหรับแจงไม่มีในหัวเลยว่าจะทำแบบนั้น ตรงกันข้าม เราอยากลงไปทำงานในพื้นที่ที่ห่างไกลความเจริญมากกว่า ได้อยู่กับชุมชนจริงๆ อาจเป็นเพราะว่าเราเคยอยู่ต่างจังหวัดมาก่อน ก็เลยไม่กลัวที่จะไปทำงานที่นั่น คือตอนนั้นแจงไปอยู่โรงพยาบาลบุรีรัมย์ 8 เดือน ปีแรก 4 เดือน ที่เหลือก็ต้องไปอยู่โรงพยาบาลอำเภอ เป็นช่วงที่ภูมิใจมาก เพราะอย่างโรงพยาบาลหนึ่งมีหมอแค่ 2 คน คือเรากับ ผอ.โรงพยาบาล ซึ่ง ผอ.เขาก็มีงานราชการเยอะอยู่แล้ว และเขาก็มีครอบครัว แต่เราเป็นโสด ไม่มีภาระ เวลาอยู่เวร บางทีเขาก็อยู่ไม่ไหว เราก็อยู่แทน อย่างแบ่งกันเดือนละ 15 วัน กลางคืนไม่ต้องนอนนะ แต่ก็อยู่มาได้ แล้วเราก็ทำอย่างสนุกสนาน” คุณหมอแจงเล่าถึงประสบการณ์ด้วยใบหน้าแต้มยิ้มและดวงตาพราวระยับบ่งบอกถึงความสุข

แต่แล้วด้วยนิสัยไม่ยอมคนบวกกับเป็นสาวที่รักในความสวยความงาม ชอบที่จะดูแลตัวเองอยู่เสมอ คุณหมอคนเก่งจึงเบนเข็มมาเดินบนเส้นทางธุรกิจความงามแม้จะออกตัวว่าไม่ถนัดเรื่องธุรกิจก็ตาม

“จริงๆ ไม่ได้ถนัดเร่ืองทำธุรกิจหรอกค่ะ แต่บังเอิญเคยเปิดคลินิคความงามกับเพื่อนคนหนึ่งเมื่อ 2-3 ปีก่อน แล้วเกิดเหตุไฟไหม้ที่สยามเมื่อช่วงปีที่ผ่านมา เลยต้องแยกกันไป เราเป็นคนรักสวยรักงามอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นหลังจากทำงานใช้ทุนรัฐบาลแล้ว จะให้ทำงานใต้อันเดอร์คนอื่นต่อไปยาวๆ ก็ขัดกับนิสัยตัวเอง คือแจงเป็นคนไม่ยอมคนและไม่ชอบอยู่อันเดอร์ใครนานๆ รู้ตัวดีว่าอยู่ต่อไปเดี๋่ยวต้องเกิดปัญหาแน่ๆ ก็เลยออกมาทำเองดีกว่า ซึ่งเรื่องผิวหนังเราก็เรียนมาอยู่แล้ว เพียงแต่ด้านธุรกิจไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่ ก็ค่อยๆเรียนรู้ไป คิดในทางบวกว่า คนเราถ้าไม่เริ่มไม่คิดที่จะเรียนรู้อะไรเพิ่มเติมแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าทำได้หรือไม่ แจงเป็นคนแบบนี้ก็เลยตัดสินใจออกมาทำเองดีกว่า การที่เราได้ทำให้คนอื่นสวยและมีความสุขก็เป็นกุศลอีกอย่างหนึ่งเหมือนกัน”

เป็นเจ้าของธุรกิจส่วนตัวที่ต้องดูแลบริหารจัดการด้วยตัวเองแบบนี้ ถามว่าเหนื่อยหรือเครียดบ้างไหม หมอแจงยอมรับว่าย่อมมีเครียดบ้างเป็นธรรมดา แต่เธอมีไลฟสไตล์สนุกสนาน ชอบทำชีวิตให้มีความสุข เพราะฉะนั้นเรื่องเครียดจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่

“ถามว่ามีเครียดไหม ก็มีนะคะ แต่แจงเป็นคนชอบสนุกสนาน ชอบทำให้ตัวเองมีความสุข เวลามีเรื่องเครียดอะไรก็จะหาทางออก ไม่มานั่งคิดวนไปวนมา เสียเวลาเปล่าๆ สมัยเด็กๆ ก็เป็นอยู่พักหนึ่ง แต่ที่สุดก็แก้ได้ด้วยตัวเอง ทุกเรื่องไม่ว่าจะแย่ยังไง ขอเพียงให้เรารู้ว่าเสียใจและยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นให้ได้ทุกอย่างก็คลี่คลาย ไม่คอนแทกต์กับปัญหา เพราะถ้าไปยุ่งเกี่ยว มันจะยิ่งผูกโยงมากขึ้น พยายามเข้าใจคนอื่นให้มาก และแก้ที่ตัวเรา หมายความว่า ถ้าเรามีปัญหากับคนอื่นแล้วแก้ไขอะไรไม่ได้ก็ต้องแก้ที่ตัวเรา   พยายามคิดอย่างนั้น แล้วปัญหาที่มีอยู่จะเบาบางลง”

ทิ้งท้ายด้วยวิธีจัดการกับปัญหาตามสไตล์สาวสวยที่คิดบวก

 

 

%d bloggers like this: